วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

                รถยนต์จัดเป็นสินทรัพย์ที่ทำรายได้ประเภทหนึ่ง เช่น ธุรกิจรถเช่า แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่นกัน เริ่มตั้งแต่การจัดซื้อรถยนต์ ติดตามด้วยค่าประกันภัย ค่าซ่อมบำรุงรักษา และภาษีประจำปี ซึ่งนับวันค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นในการดำเนินธุรกิจหลายแห่งจึงใช้บริการรถเช่าแทนที่จะทำการจัดซื้อรถยนต์ไว้ใช้เอง ซึ่งทำให้ได้รับความสะดวกสบาย ลดความยุ่งยากและลดต้นทุนในการบริหารรถยนต์ โดยยกภาระดังกล่าวให้บริษัทรถเช่าที่มีประสบการณ์สูงไปดำเนินการแทน

ลักษณะทั่วไปของธุรกิจ
รถเช่า
ลักษณะทั่วไปของการประกอบกิจการธุรกิจ
รถเช่า จำแนกได้เป็น 2 ประเภทคือ
                1. การให้
เช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงาน (Operating Lease) เป็นการให้เช่าที่ทำเป็นสัญญาเช่าให้สิทธิลูกค้าใช้รถยนต์เป็นระยะนับปี โดยลูกค้าจะจ่ายค่าเช่ารถเป็นรายเดือนและรับผิดชอบในส่วนของค่าน้ำมันที่ใช้ ส่วนผู้ให้เช่ารับผิดชอบในค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่ารถแล้ว ผู้ให้เช่ารถสามารถนำทรัพย์สินดังกล่าวออกให้ผู้อื่นเช่าได้อีก กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเอกชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ
                2. การให้
เช่ารถยนต์ชั่วคราวระยะสั้น (Car rental) เป็นการให้เช่ารถที่ให้สิทธิลูกค้าเลือกที่จะใช้บริการเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน โดยมีรถยนต์ให้เลือกใช้งานหลายประเภททั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้และรถปิคอัพที่มีให้เลือกหลายรุ่นหลายขนาด พร้อมทั้งให้บริการคนขับหรือเลือกขับเองก็ได้
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการรถเช่าประมาณ 180 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ให้บริการ
เช่ารถยนต์ชั่วคราวเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่จะให้เช่าเพื่อการดำเนินงาน

ธุรกิจรถ
เช่ารถ : ประโยชน์หลากหลายที่ลูกค้าจะได้รับ
                จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลงจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจหันมาใช้บริการเช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงาน (Operating Lease) มากขึ้น ทดแทนการซื้อรถยนต์มาใช้งาน ซึ่งผู้เช่าจะได้รับประโยชน์จากบริการ ดังนี้
                1.ลดภาระทางการเงิน ซึ่งไม่ต้องลงทุนจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อรถยนต์
                2.ค่า
เช่ารถยนต์ถือเป็นค่าใช้จ่ายขององค์กร สามารถนำไปลงรายการในบัญชีค่าใช้จ่ายได้
                3.มีบริการซ่อมบำรุงและตรวจเช็คสภาพรถยนต์ตามระยะทางตลอดอายุสัญญาการใช้งาน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์ รวมทั้งยังช่วยลดภาระในด้านบุคลากรที่ต้องทำหน้าที่ในส่วนนี้ด้วย
                4.ได้รับบริการที่สะดวกและคล่องตัวในกรณีรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งผู้ประกอบการรถเช่าจะมีพนักงานให้คำแนะนำพร้อมช่างฉุกเฉิน และรถซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ออกให้ความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันยังมีรถยนต์ให้บริการระหว่างการซ่อมบำรุงที่ใช้เวลามากกว่า 1 วันด้วย

ตลาด
รถเช่า : เติบโตควบคู่กับการแข่งขันสูง
                จากประโยชน์หลากหลายที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น ทำให้การ
เช่ารถยนต์เพื่อดำเนินงานได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ มูลค่าตลาดรถเช่าจึงขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา และสำหรับในปี 2549 นี้ คาดว่าความต้องการรถเช่ายังคงเติบโตคิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 10,500 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 13.5 จำแนกเป็นการให้เช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงานคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85 และการให้เช่ารถยนต์ชั่วคราวระยะสั้นร้อยละ 15
                ธุรกิจ
รถเช่าในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเข้าสู่ธุรกิจได้ง่าย ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายเปิดเสรีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม ดังนั้นนักลงทุนและ Chain จากต่างประเทศจึงสามารถเข้ามาลงทุนประกอบกิจการมากขึ้น สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดที่ผู้ประกอบการรถเช่านำมาใช้เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด มีดังนี้
                1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าด้วยบริการที่มีคุณภาพ ความสะดวก ความรวดเร็ว ตลอดจน
การให้ความสำคัญและความต่อเนื่องของการบริการ
                2. ให้บริการที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าเฉพาะราย โดยจัดซื้อรถยนต์ตาม
ประเภท ยี่ห้อ รุ่น และติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ตามการเรียกร้อง
                3. มีบริการหลังการให้เช่าครบวงจร เช่น การดูแลรักษารถยนต์ การจัดการซ่อมบำรุง บริการ
รถฉุกเฉิน บริการรถยนต์ทดแทน บริการพนักงานขับรถ และการประกันภัยรถยนต์ เป็นต้น
                4. ให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนในการจัดหารถยนต์ให้เช่า โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ซึ่งจะทำให้ได้รับส่วนลดในการจัดซื้อรถยนต์ ค่าอะไหล่รถยนต์ และค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์
                5. สร้างภาพลักษณ์ของกิจการผ่านสื่อโฆษณาต่าง ๆ เช่น แผ่นพับ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต รวมถึงรายการส่งเสริมการขายและร่วมออกงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
                6. สร้างเครือข่ายศูนย์บริการให้เช่า และบริการหลังการเช่าครอบคลุมในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ

บทสรุป
                ปัจจุบันองค์กรธุรกิจภาคเอกชน หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจต่างหันมาใช้บริการ
รถเช่าในการการดำเนินงานมากขึ้น เพื่อลดความยุ่งยากและลดต้นทุนในการบริหารรถยนต์ ขณะเดียวกันค่าเช่ารถยังสามารถนำไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ในการชำระภาษีประจำปีได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้จะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อผู้ประกอบการจะต้องมีความพร้อมในด้านการบริการด้วยความเอาใจใส่ ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ และจำนวนรถสำรองเพื่อทดแทนระหว่างการซ่อมบำรุง เพื่อทำให้ผู้เช่าเกิดความเชื่อมั่นที่จะใช้บริการต่อไป

ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก 
ksmecare.com

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น